วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558
การใช้ do และ make
การใช้ do และ make
คำว่า do และ make นี้ คล้ายกันมากเลยนะคะ แต่ก็มีข้อแตกต่างอยู่คือ
การใช้ Make และ Do เราใช้ do เวลาที่การกระทำที่เราพูดถึงนั้น เราไม่ได้เจาะจงอย่างชัดเจนว่ามันคืออะไรนะคะ
เช่น เมื่อใช้กับ something, nothing, anything, everything, what เป็นต้น
เช่น
Do something! ทำอะไรซักอย่างสิ!
What shall we do? เราจะทำยังไงกันดีล่ะ
He did a very strange thing. เขาทำอะไรที่แปลกมาก
การใช้ Make และ Do เราใช้ do เมื่อเราพูดเกี่ยวกับการทำงาน และเมื่อเราใช้กับ verb ing
ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เราต้องใช้เวลาในการกระทำนั้น หรือ เมื่อกระทำซ้ำๆ
ยกตัวอย่างดีกว่า
I am not going to do any work today.
I'm going to do some reading.
I like doing the cooking and shopping.
การใช้ Make และ Do เรามักใช้ make เมื่อพูดเกี่ยวกับการสร้างอะไรขึ้นมา
เช่น
I've just made a cake.
Let's make a good plan.
การใช้ Make และ Do do และ make ในสำนวนต่างๆ
เช่น
do good การใช้ Make และ Doทำให้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกดีขึ้น
do harm การใช้ Make และ Doมีพิษมีภัย ทำร้าย
do business การใช้ Make และ Doทำธุรกิจ
do a favour การใช้ Make และ Do ช่วย
do one's best (do my best) การใช้ Make และ Doทำให้ดีที่สุด
make an offer การใช้ Make และ Doเสนอให้
make an arrangement การใช้ Make และ Doเตรียมการ
make a suggestion การใช้ Make และ Doเสนอแนะ
make a decision การใช้ Make และ Doตัดสินใจ
make an attempt การใช้ Make และ Doพยายาม
make an effort การใช้ Make และ Doพยายาม
make an excuse การใช้ Make และ Doแก้ตัว
make an exception การใช้ Make และ Doข้อยกเว้น
make a mistake การใช้ Make และ Doทำพลาด
make a noise การใช้ Make และ Doส่งเสียง
make an exception การใช้ Make และ Doละเว้น ผ่อนผัน
make a journey การใช้ Make และ Doเดินทาง
make a phone call การใช้ Make และ Doโทรศัพท์
make money การใช้ Make และ Doหาเงิน
make a profit ทำกำไร
make war การใช้ Make และ Doต่อสู้ ขัดแย้งกับ
make peace การใช้ Make และ Doไกล่เกลี่ย สงบศึก
make an appointment การใช้ Make และ Doนัดหมาย
make a bed การใช้ Make และ Doปูที่นอน
make a deal with การใช้ Make และ Doตกลงกับ
คำถามที่ขึ้นต้นด้วย is
Questions beginning with "Is"
คำถามที่ขึ้นต้นด้วย Is
Is it raining outside?
ข้างนอกฝนตกอยู่หรือเปล่า
Is it break time yet?
ถึงเวลาพักหรือยัง
Is it okay if I leave class early?
โอเคมั๊ย ถ้าฉันจะเลิกเรียนก่อนเวลา
(นำไปใช้กับครูได้ - ไม่ถือเป็นประโยคก้าวร้าว) /
ขอเลิกเรียนก่อนเวลาได้มั๊ยครับ
Is my sentence correct?
ประโยคของฉันถูกมั๊ย
Is that the new iPhone?
นั้นคือไอโฟนใหม่ใช่มั๊ย
Is the teacher American?
ครูเป็นคนอเมริกันหรือเปล่า
Is this yours?
อันนี้ของคุณหรือเปล่า
Is Singapore clean?
ประเทศสิงคโปร์สะอาดหรือเปล่า
หลักการใช้ was/were
หลักการใช้ was/were ใน Past Tense (อดีตกาล)
คำว่า was, were คือ ช่องที่ 2 ของ Verb to be (is, am, are)
was มาจาก is, am ใช้กับประธานเอกพจน์ รวมทั้ง I ด้วย
ประธานเอกพจน์ ได้แก่ I, he, she, it
were มาจาก are ใช้กับประธานพหูพจน์
ประธานพหูพจน์ ได้แก่ you, we, they
ทั้ง was/were แปลว่า เป็น, อยู่, คือ แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต (Past Tense)
โครงสร้าง: Subject + was/were + Object
การย่อรูปในเชิงปฏิเสธ
was not >>> wasn’t แปลว่า ไม่
were not >>> weren’t แปลว่า ไม่
ตัวอย่างเช่น
- The weather was fine yesterday. เมื่อวานอากาศดี (แสดงว่าวันนี้อากาศครึ้มทั้งวัน)
- We were at school yesterday.
เมื่อวานพวกเราอยู่ที่โรงเรียน (เมื่อวานวันศุกร์ไง วันนี้วันเสาร์ไม่ต้องไปเรียน)
Was, Were ใน Tense ต่างๆ
1. Past Simple Tense
was, were แปลว่า เป็น อยู่ คือ
- I was an engineer. ฉัน (เคย) เป็นวิศวกร
- We were doctors. พวกเราเคยเป็นหมอ
แต่บางครั้ง was, were ไม่ต้องแปล ถ้า was, were + คุณศัพท์
- I was fine. ฉัน (เคย) สบายดี (fine = คุณศัพท์)
- She was thin. เธอ (เคย) ผอม (thin = คุณศัพท์)
- They were clever. พวกเขา (เคย) เก่ง (clever = คุณศัพท์)
2. Past Continuous Tense
was, were อย่าแยกแปล ให้แปลควบกับคำกริยาที่เติม -ing (แปลว่า กำลัง…)
ตัวอย่างเช่น
- I was walking in the park. ฉันกำลังเดินเล่นในสวนสาธารณะ
- He was drinking soft drinks. เขากำลังดื่มน้ำอัดลม
- We were climbing the mountains. พวกเรากำลังปีนเขา
ประโยคบอกเล่า ตัวอย่างเช่น
- He was a waiter last year but he became a chef last month.
เขา (เคย) เป็นบริกรเมื่อปีที่แล้ว แต่เขากลายเป็นหัวหน้าคนครัวเมื่อเดือนที่แล้ว
- She was happy because she met you at the party.
เธอมีความสุข เพราะเธอได้เจอคุณที่งานปาร์ตี้
- They were at clinic yesterday. They did facial spa treatments all day.
พวกเขาอยู่ที่คลินิคเมื่อวานนี้ พวกเขาทำสปาหน้ากันทั้งวัน
ประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น
Q: Was she a receptionist last year? ปีก่อนเขาเป็นพนักงานต้อนรับใช่ไหม
A: Yes, she was. / No, she wasn’t. ใช่ / ไม่ใช่
Q: Wasn’t she hungry? เธอไม่หิวใช่ไหม
A: Yes, she was. / No, she wasn’t. ใช่ / ไม่ใช่
Q: Were they at hospital yesterday? พวกเขาอยู่ที่โรงพยาบาลใช่ไหมเมื่อวานนี้
A: Yes, they were. / No, they weren’t. ใช่ / ไม่ใช่
ประโยคปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น
- He wasn’t a mechanic last month. เขาไม่ (เคย) เป็นช่างยนต์เมื่อเดือนที่แล้ว
- She wasn’t exhausted. เธอไม่ (เคย) เหนื่อย
- They weren’t at airport yesterday. พวกเขาไม่ได้อยู่ที่สนามบินเมื่อวานนี้
ประโยคคำถาม Wh-Question ตัวอย่างเช่น
Q: Who was in your bedroom yesterday? ใครอยู่ในห้องนอนของคุณเมื่อวานนี้
A: It was my niece. หลานสาวฉันเอง
Q: Where were you last week? สัปดาห์ที่แล้วคุณอยู่ที่ไหน
A: I was in Paris. ฉันอยู่ในกรุงปารีส
Q: How was your sister yesterday. น้องสาวของคุณเป็นอย่างไรบ้างเมื่อวานนี้
A: She was not fine. She has a fever. เธอไม่สบาย เธอเป็นไข้
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
หลักการใช้ Yes/No Question
หลักการใช้ YES/NO QUESTION
สำหรับการตอบของ Yes/No question ก็เป็นประโยคที่ต้องการคำตอบว่า ใช่ หรือไม่ใช่ ถ้าจะเทียบกับภาษาไทยก็เป็นคำถามว่า ใช่มั้ย/ใช่หรือไม่ นั้นเอง เช่น
Are you from Spain?
คุณมาจากประเทศสเปนใช่มั้ย
Yes, I am from Spain.หรือ Yes, I am. (เป็นการตอบแบบสั้น ๆ)
ใช่แล้ว ฉันมาจากประเทศสเปน
No, I am not from Spain หรือ No, I’m not / No, I am not
เปล่าหรอก ฉันไม่ได้มาจากประเทศสเปน ในที่นี่อาจจะพูดต่อว่า I am from Sweden. เพื่อบอกว่าคุณมาจากไหนก็ได้
เอาล่ะคะ เรามาดูหลักการสร้างประโยคคำถามแบบ Yes/No question กันเลย
1. ถ้าในประโยคนั้นมี V.to be เป็นกริยาแท้ ก็ให้ดึง V.to be มาไว้ด้านหน้าเลยค่ะ
He is lazy. ==> Is he lazy? ตอบได้ว่า Yes, he is. หรือ No, he is not. / No, he isn’t.
They are his friends. ==> Are they his friends? ตอบได้ว่า Yes, They are. หรือ No, they are not. / No, they aren’t.
2. ถ้าประโยคนั้นมีกริยาแท้ และมีกริยาช่วย (auxiliary verb) ด้วย ก็ต้องดึงกริยาช่วยมาขึ้นต้นประโยค
Tim is watching TV now. ==> Is Tim watching TV now?
He has done his work. ==> Has he done his work?
They will be playing football. ==> Will they be playing football?
3. ถ้าประโยคนั้นมีแต่กริยาแท้ ไม่มีกริยาช่วยใด ๆ ก็จะใช้ Do/Does/Did เข้ามาช่วย
กรณีเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน จะใช้ Do ( I, You,We,They) และ Does (He, She, It)
He like to play tennis. ==> Does he like to play tennis?
They go to school everyday. ==> Do they go to school everyday?
กรณีเป็นเหตุการณ์ในอดีต จะใช้ Did กับประธานทุกตัว
She bought some milk last night. ==> Did she buy some milk last night?
They watched series together three days ago. ==> Did they watch series together three days ago?
การใช้ some และ any
การใช้ some และ any
ทั้ง some และ any มีความหมายว่า "บ้าง" แต่ใช้แตกต่างกันดังนี้
1. some ใช้กับประโยคบอกเล่า ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้
เช่น
I have some pens. (ฉันพอจะมีปากกาบ้าง)
John wants some water. (John ต้องการน้ำบ้าง)
There are some books on the table. (มีปากกาอยู่บนโต๊ะบ้าง)
There is some sugar in the bowl. (มีน้ำตาลทรายอยู่ในชามบ้าง)
2. any ใช้กับ
2.1 ประโยคปฏิเสธ ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น
"ไม่ ______ เลย" เช่น
I don't have any pens. (ฉันไม่มีปากกาเลยสักด้าม)
John doesn't want any water. (John ไม่ต้องการน้ำเลย)
There aren't any pencils under the table. (ไม่มีดินสออยู่ใต้โต๊ะเลยสักแท่ง)
There isn't any tea in the cup. (ไม่มีน้ำชาอยู่ในถ้วยเลย)
2.2 ประโยคคำถาม ใช้ได้ทั้งกับนามนับได้และนามนับไม่ได้ แต่ความหมายจะเปลี่ยนเป็น
"_______ บ้างไหม" เช่น
Do you have any pens? (คุณมีปากกาบ้างไหม)
Does John want any water? (John ต้องการน้ำบ้างไหม)
Are there any books in the schoolbag? (มีหนังสืออยู่ในกระเป๋าเรียนบ้างไหม)
Is there any coffee in the cup? (มีกาแฟอยู่ในถ้วยบ้างไหม)
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
สรุปหลักการใช้ Present Simple Tense
หลักการใช้ Present Simple Tense สรุปได้ดังนี้
ใช้บอกกล่าว เล่าข้อเท็จจริงทั่วไปของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ คลิกอ่านอีกครั้งที่นี่
โครงสร้าง คือ ประธาน + กริยาช่องที่ 1 หรือ ประธาน + กริยาช่วย + กริยาช่องที่ 1 คลิกที่นี่
ถ้าประธานเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเติม s หรือ es คลิกอ่านที่นี่
ประโยคคำถามนั้น ถ้ามีกริยาพิเศษบางตัว ให้เอากริยานั้นนำหน้าประโยคได้เลย ถ้าไม่มีให้เอา Verb to do มาใช้ คลิกอ่านที่นี่
มีคำกริยา 3 ตัวที่ควรเรียนรู้และจำให้แม่น ใน Present Simple Tense ที่ต้องจดจำให้แม่น เพราะจะใช้กับ Tense อื่นๆด้วย ได้แก่
Verb to be (is am are)
Verb to have (have has)
Verb to do (do does)
หลักการใช้ verb to be
หลักการใช้ Verb to be
นักเรียนได้ศึกษารูปแบบการใช้และตัวอย่างของ Verb to be ทัง 3 ตัวแล้ว เพื่อให้นักเรียนเข้าใจและสามารถ
นำ Verb to be ไปใช้ในประโยคได้อย่างถูกต้อง ควรศึกษาหลักการใช้ Verb to be เพิ่มเติมดังนี้
Verb to be มีหลักการใช้ดังต่อไปนี้
1. to be + adjective หมายถึงการใช้ Verb to be ตามด้วยคำคุณศัพท์ (Adjective) เช่น
I am happy.
You are smart.
They are lazy.
She is pretty.
That dog is fierce.(ดุ)
That trees are very tall.
2. to be + กริยาเติม ing (v+ing) ใช้เพื่อแสดงเหตุการณ์ที่กำลังกระทำ หรือกำลังเกิดขึ้น เช่น
My mother is cooking.
Joey and his friends are doing their homework.
You are listening to the songs.
I am teaching English.
We are learning English online.
3. to be + complement. (ส่วนขยาย) ใช้ Verb to be กับส่วนขยายของประโยค เพื่อให้
ประโยคสมบูรณ์ขึ้น เช่น
His father is an engineer.
They are soccer players.
I am an actress.
She is a nurse.
4. ใช้ในรูปของ There is / There are เช่น
There is a calculator on the table.
There is an umbrella on the wall.
There is milk in the glass.
There are five notebooks in a backpack.
There are twelve in a dozen.
There are seven days in a week.
สรุปการใช้ verb to do
สรุปการใช้ Verb to do
Verb to do เป็นกริยาที่ใช้ได้หลายหน้าที่ เช่น ใช้เป็นกริยาแท้ในประโยค และใช้เป็นกริยาช่วย
ในรูปประโยคคำถาม รูปประโยคปฏิเสธ และใช้ในรูปประโยคสั่งห้าม
Verb to do ถ้าทำหน้าที่เป็นกริยาแท้ มีความหมายว่า "ทำ"โดยประธานทำกริยาเอง และจะเปลี่ยนรูป
ไปตามประธาน เรามักจะพบในสำนวนต่าง ๆ เช่น do homework, do the housework,
do the dishes
Verb to do ทำหน้าที่เป็น กริยาช่วย ในรูปประโยคคำถาม และรูปประโยคปฏิเสธ
ถ้าเป็นประโยคคำถามเราจะใช้ Do, Does ขึ้นต้นประโยค ส่วนประโยคปฏิเสธ จะใช้ do not, does not
วางระหว่างประธานกับคำกริยา
Do จะใช้กับประธานที่เป็นพหูพจน์
ส่วน Does จะใช้กับประธานที่เป็นเอกพจน์ กริยาแท้ในประโยคที่มี s, es ให้ตัดออก
Verb to do ในประโยคสั่งห้าม โดยเราจะใช้ Don't ไว้หน้าประโยค เป็นการห้ามบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
กระทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดังตัวอย่างประโยคที่นักเรียนได้ศึกษามาข้างต้น